วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

"แกว่งปากหา......"

" เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียวลมปาก.......จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา" บทกลอนจากเรื่องพระอภัยมณี
ผมมาสะดุดบทนี้ เห็นว่ามันใกล้ตัวคนเราจริงๆ
เดี๋ยวนี้คำพูดก่อนออกจากปากเรา เราคิดกันมากแค่ไหน
แล้วนึกถึงผลที่ตามมามั๊ย?

คนทุกคนก็อยากฟังแค่คำพูดชื่นชม ยกยอปอปั้น ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว
ผู้พูดน่ะมีอะไรแอบแฝงรึต้องการผลประโยชน์อะไรรึเปล่า
คนอีกประเภทพูดจาตรงไปตรงมา คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ชอบฟัง
ทั้งๆที่มันเป็นความจริง ซึ่งผู้พูดนั้นอาจไม่ได้หวังประโยชน์สิ่งใด
นอกจากมีความจริงใจที่มอบให้..........

อย่างว่าในบทกลอนก็บอกอยู่ว่า " มนุษย์ "
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ก้ยังสะสมบ่มเพาะกิเลสอยู่ร่ำไป ขึ้นอยู่กับว่า
แต่ละคน มาก น้อย เพียงใดแค่นั้น

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Naoto Fukasawa






เป็นดีไซต์เนอร์์ญี่ปุ่น ซึ่งไม่ค่อยถูกพูดถึงสักเท่าไร ซึ่งผลงานของ Naoto นั้นเป็นผลงานการออกแบบที่
เรียบง่ายเป็นเส้นสายแบบง่ายๆ
Naoto เคยมีความคิดที่อยากจะเป็นนักออกแบบ
ตอนเขาอายุได้ 17 ปี และพอเขาโตขึ้นได้มาทำงานอยู่ใน
บริษัททำนาฬิกา ญี่ห้อไซโก้ และต่อมาได้เริ่มก่อตั้ง
บริษัทออกแบบโปรเจ๊คออกแบบโทรศัพท์
ผมมองว่าเขาเป็นนักออกแบบที่มีผลงานการออแบบ
ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งเน้นความเรียบง่าย
แต่มีฟั่งชั่นที่หลากหลาย ความลงตัวของงานที่ดีไซต์
แบบเน้นการใช้งานอย่างดีด้วย และมีผลงานออกแบบ
บางชิ้นที่ผมสนใจนำมาเสนอให้อ่านเป็นบางส่วน
1. เน้นความเรียบง่าย แต่หรู และดูดี ออกแบบ
เครื่องเล่นซีดีที่นำเอารูปแบบการทำงานของพัดลม
ระบายอากาศมาใช้ที่ต้องการฟังเพลงก็เพียงแต่ดึงสายที่ต่อจากตัวเครื่อง ปัจจุบันจัดแสดงไว้ที่ Museum of Modern Art สนใจผลงานเลื่องชื่อมากมายติดตาม
ได้ในหนังสือเล่มใหม่ของเขา ( ราคา 2,695 บาท หนังสือจาก Asia Books)
2. เครื่องเล่นซีดีของ Mujiแบบกระตุกสายที่์เขา
ออกแบบไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1999 มันมาจากพัดดูดอากาศ
ที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันดี
3.อาศัยแนวคิดว่าอยากจะทำให้ผลิตภัณฑ์
ที่ออกมา ให้ความรู้สึกถึงน้ำผลไม้ที่อยู่ข้าง
ในได้ และก็ดูท่าว่าจะทำได้อย่างนั้นจริงๆ เ สียด้วย เพราะแค่เห็นกล่องก็เกิดอยากกินขึ้นมาแล้ว…

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระดุมเม็ดแรก

มีคนนึงเคยบอกกับผมเมื่อเค้าคิดว่า
ผมกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่างที่ผิดไปว่า
"การตัดสินใจของผมมันเหมือนกับการติดกระดุมเม็ดแรก
ถ้าติดผิด มันก็ผิดทั้งหมดนั้นแหละ"

ในตอนนั้นผมแทบไม่ได้ใส่ใจหรือแม้จาเก็บมาคิด
กับคำพูด ความคิดเห็นของเค้าคนนั้นเลย
เพราะนอกจากเค้าจะไม่มีความสำคัญกับชีวิตผมแล้ว
ผมกลับรู้สึกมันเป็นความท้าทายให้ผมยิ่งอยากทำแบบที่เค้าคิดว่า
ผมจะตัดสินใจผิด ผมก็อยากรู้ว่าผลที่เค้าว่ามันจะผิดทั้งหมดนั้น
มันจะเป็นยังไง

วันนี้ผลของการติดกระดุมเม็ดแรกของผม
มันยังสดใสและผมไม่เคยคิดว่าวันนั้นกระดุมเม็ดแรกที่ผมติดผิด
มันจะทำให้ผม ทุกร้อน อาย หรือหงุดหงิดใจแต่อย่างใด
ผมก็มีความสุขกับการติดกระดุมเหยๆ เกๆ แบบนั้นเรื่อยมา
ผมแอบอมยิ้มทุกครั้งที่มีคนสักเกตุเห็นว่าผมติดกระดุมผิด
ถ้ามีคนทักผมว่าติดกระดุมผิดผมยิ่งปล่อยเสียหัวเราะชอบใจ
แล้วตอบกลับไปว่า ไม่ได้ติดผิดหรอก ผมตั้งใจ
ผลที่ตามมาก็ไม่เห็นมีใครมาใส่ใจกับกระดุมผมอีกเพราะมันก็ไม่ได้
ไปทำให้เค้าหรือใครๆเดือดร้อนเรื่องใดๆเลยนี้นา

แต่ความคิดอีดอย่างของผมที่อยากบอกเค้าคนนั้นว่า
หากว่าการติดกระดุมเม็ดแรกของผม
มันผิดและมีผลที่ไม่ดีกับชีวิตผม

ผมก็จาแค่ติดมันใหม่ให้ถูก " ก็แค่นั้น "มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นที่จะแก้ไขสักหน่อย
ประสาท......................

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รถติด......ยังไง

ผมขับรถมุ่งหน้าพระรามเจ็ด ก่อนขึ้นสะพานข้ามแยกวงสว่าง
รถติดมาก..........จากไปได้เรื่อยๆๆค่อยไหลกลายเป็นติดซะงั้น
มองรถฝั่งตรงข้ามโล่งแทบไม่มีรถ แต่ก็แค่ งงๆ
มันเป็นการเดินทางวันธรรมดาช่วงบ่ายโมงซึ่งรถไม่น่าจะติดมากขนาดนี้

ผมเดาว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นข้างหน้าแน่ๆจึงทำให้รถติด
กระดึบกระดึบมาเรื่อยๆ คำตอบอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก
ผมพอจะเห็นใกล้เข้ามาแล้ว
ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า ขวางการจราจรฝั่งตรงข้าม
ทำให้ไม่มีรถเลยผ่านไปได้เลย
ส่วนช่องทางเดินรถฝั่งผมอ่ะพอผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุไปได้เท่านั้นแหละ
โล่งงง.........................วิ่งฉิว
แล้วมันเพราะอะไร ช่องทางฝั่งนี้มันไปเกี่ยวอะไรกับเค้าด้วยฟระ
คิดได้แค่คำที่เปรียบได้กับไทยมุง อยากรู้อยากเห้น
ชลอรถดูกันซะงั้น ชะลอกันเข้าไป
ตอนแรกรีบมาจากไหนพอเจออุบัติเหตุเข้าไป ไอ้ที่ว่ารีบๆอ่ะ
เจอเรื่องนี้เข้าไปลืมไปเลยว่าตะกี้กรูรีบอยู่

คนเรานี้ก็แปลกเนอะ...................

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โอกาสข้างถนน

คุณเคยขับรถไปติดสี่แยกมั๊ย
ที่ไหนที่นั้นไม่มีคนขายพวงมาลัยก็มีคนพิการรึไม่พิการเลย
มาข้อสิ่งที่เค้าเรียกให้มันดูด้อยค่าว่าเศษสตางค์

วันนี้ผมรถมาติดอยู่แยกเกษตร
มีผู้หญิงพิการที่ขาตั้งแต่ช่วงเข่าลงไปข้างหนึ่งไม่มี
ผมทำเหมือนทุกทีเมื่อเค้ามายืนทำสายตาวิงวอน
ขอเศษสตางค์ซึ่งคนอื่นๆอาจจะคิดว่าไม่มีค่าสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผม....ไม่
ท่าทีของผมคือไม่หันไปแม้แต่จะมองเพราะอดที่จะสงสารไม่ได้
พอเค้าเดินจากรถผมไปผมมีคำถามในใจ(ผมว่าคุณก็อาจจะเคยอยากรู้เหมือนผม)
ว่าขาเข้าขาดไปแค่ข้างเดียว ทำไมมือทั้งสองข้างและขาที่มีไม้เท้าค้ำยัน
ไปไหนมาไหนได้ไม่พาเค้าไปหางานการที่พอทำได้ทำ
เสียดีกว่ามาเดินขอเศษสตางค์ เค้าไม่อายหรือกับสายต่อรึท่าทีของคนอื่นๆ
ผมไม่คิดเปล่า เอ่ยถามแฟนผมซึ่งนั่งอยู่ข้างๆออกไป
เธอคิดคลายกับผมในเรื่องที่ว่าพิการแค่นี้เค้ายังมีทางทำมาหากินได้
แต่ทำไม เค้าไม่ทำ เพราะเราก็เคยเห็นคนพิการหาเลี้ยงตัวเองบางคนหาเลี้ยงครอบครัวด้วยซ้ำไป
มีอีกความคิดเห็นนึงที่แฟนผมเอ่ยออกมาแล้วทำให้ผมคิดต่อไปอีก
โอกาสไง เราก็ไม่มีทางไปรู้กับเค้าหรอกว่าเค้าอาจจะพยายามแล้วทุกทาง
บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีทางและโอกาสหยิบยื่นมาให้เค้ามากนัก
เค้าคงมีเหตุผลและยอมรับได้ในสิ่งที่ตามมาแล้วหละ หากเค้าเลือกที่จะขอทานแบบนี้

"อ๊อย..........อย่าไปยุ่งกะเค้าเลย ไฟเขียวแล้ว ออกรถดิ ไอ้ปุ้ย....."
จบการสนทนาด้วยเสียงโวยวายของแฟนผม

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความพร้อมในแบบของผม

ตอนนี้ผมกะลังจาเป็นพ่อคน
มีคนชอบถามผมว่า แล้วผมพร้อมแล้วหรือ
ผมไม่เคยตอบออกไป แต่ผมมีคำตอบอยู่ในใจ
และอยากย้อนถามคนถามกลับไปว่าแล้วถ้าผมถามกลับในเหตุการณ์เดียวกัน
ถ้าเกิดขึ้นกับคุณ คุณพร้อมมั๊ยแล้วความพร้อมของคุณคืออะไร อยู่ตรงไหน
.........................?

เงิน หน้าที่การงาน วุฒิภาวะ ความเป็นผู้นำ
ผมต้องเรียนจบก่อน มีงานทำถึงจามีเงินถึงจะพร้อมที่จะมีลูกหรือเปล่า
แต่มีคนคนนึงพูดกับผมและทำให้ผมรู้สึกว่า
วันนี้ก่อนที่ผมจะตัดสินใจมีลูกด้วยความตั้งใจของผม
ผมพร้อมแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นพ่อที่ดีรึป่าว
แต่ความพร้อมของผมอยู่ที่ผมพร้อมที่จะทำให้ลุกผมมีความสุข
ไม่ว่าผมต้องเหนื่อยขึ้นลำบาคขึ้น แต่ผมจะทำให้ได้และมั่ใจว่าทำได้
นี้แหละที่ผมรู้สึกว่า ผมพร้อมแล้วววววววววววววคร้าบ

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หิวข้าว

หิวหิวหิว เวลาเราหิวสิ่งที่เราจะทำต่อไปคืออะไร?
กิน กิน กิน เข้าไปเพื่อที่ท้องจะได้อิ่มและเลิกร้องบอกร่างกายว่าหิว
ความหิวมันมีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่คิดนะคร้าบบบบบบบบบ
เคยได้ยินเรื่องกล้องข้าวน้อยฆ่าแม่มั๊ยอ่ะ มันสะเทือนใจนะแค่ความหิวเท่านั้น
แต่ผมคิดถึงเรื่องใกล้ตัวมากกว่า อาหารกลางวันในโรงอาหารมหาวิทยาลัย
การแย่งชิงจานนั้น คิวของผมรึคิวของใคร
แค่ความหิว เธอสามารถเอาความน่ารักและหน้าด้านแลกกับข้าวหนึ่งจานที่จะได้อิ่มก่อนผมแค่ไม่กี่นาที
แต่พออิ่มทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ สติกลับคืนมา
เธอจะอายหรือสำนึกบ้างมั๊ยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งตัดหน้าแย่งผมซื้อข้าวไป
ความหน้ารักของเธอในสายตาผมไม่เหลืออีกแล้ว
ผมตารู้สึกถึงอาการที่ตากับใจและประสาทของผมเพิ่งกลับสู่สภาวะปกติหรืออาจจะดีกว่าปกติ
ดีนะที่วันก่อนผมไม่เดินไปขอเบอร์เธอ อุตส่าห์แอบมองมาหนึ่งเทอม........เสียเวลาชิบหาย
แค่แอบมองยังคิดเสียดายเวลา........